เขียนได้มีโอกาสสนทนากับเจ้าของกิจการ ท่านหนึ่ง ท่านเป็นผู้บริหารองค์กร ซึ่งผู้เขียนทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หัวข้อสนทนาในวันนั้นเป็นการพูดคุยกันเกี่ยวกับ การเตรียมการประกาศรับสมัครงาน และเงื่อนไขในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครแต่ละคน ขณะที่การสนทนาในประเด็นเกี่ยวกับระดับผลการเรียนของผู้สมัครว่า อย่างน้อยจะต้องมีระดับผลการเรียนไม่ต่ำกว่าเกรดอะไร จึงจะพิจารณาให้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกนั้น ผู้เขียนตั้งคำถามขึ้นมาว่า “เราแน่ใจได้อย่างไรว่า ระดับผลการเรียนที่ผู้สมัครนำมาแสดงนั้น จะสะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้สมัครได้”
ผู้เขียนอธิบายเพิ่มเติมว่า ส่วนตัวนั้นเคยทำธุรกิจร้านถ่ายเอกสารมาก่อน ทำเลที่ตั้งอยู่หน้าสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง สังเกตว่ามีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ว่าจ้างร้านถ่ายเอกสารแถวนั้นทำรายงาน ให้ ” จ้างทำรายงานนะครับ ไม่ใช่จ้างพิมพ์รายงาน”นักศึกษาบางคนจะบอกแค่ว่า ต้องการทำรายงานหัวข้ออะไร กำหนดส่งเมื่อไร และสุดท้ายก็ถามว่าคิดราคาเท่าไหร่ หลังจากตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักศึกษาก็แค่รอรับงานตามกำหนดเท่านั้น การค้นคว้าหาข้อมูล การวิเคราะห์สรุป การพิมพ์ และการจัดรูปเล่ม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของร้านถ่ายเอกสาร
“ถ้า คนที่รับทำรายงานหรือร้านถ่ายเอกสารนั้นๆ มีประสบการณ์ สามารถทำงานออกมาดี ถูกต้อง และมีคุณภาพ เมื่อนักศึกษานำรายงานไปส่ง ก็มีโอกาสที่จะได้คะแนนดีเช่นกัน แต่ถ้าถามว่าคะแนนที่ได้นั้น แท้จริงแล้วเป็นความรู้ความสามารถของใคร ระหว่างนักศึกษาหรือเจ้าหน้าที่ร้านถ่ายเอกสาร”นี่ยังไม่รวมถึงนักศึกษาบางคนที่ลอกการบ้านเพื่อนมาส่ง ยังไม่รวมถึงการทุจริตอื่นๆ ที่อาจจะมีบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็คือ คะแนนในใบแสดงระดับผลการเรียนจะออกมาเป็นตัวเลขที่สวยงาม (โดยอาศัยความสามารถของผู้อื่น) ซึ่งนักศึกษาทั่วไปใฝ่ฝันอยากได้ ดังนั้น จากประสบการณ์ดังกล่าวผู้เขียนจึงยังเชื่อว่า ระดับ ผลการเรียนไม่ได้สะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้สมัครงานได้ทั้ง หมด ดังนั้นเราจำเป็นต้องใช้เกณฑ์อื่นมาพิจารณาประกอบด้วย
เจ้าของกิจการท่านนั้นถามความคิดเห็นของผู้เขียนว่า เขาควรจะทำอย่างไร จึงจะสามารถพิจารณาและคัดเลือกเพื่อให้ได้บุคคลที่มีความสามารถจริงๆ ผู้เขียนให้ความเห็นว่า การใช้แบบทดสอบชนิดให้เลือกตัวเลือก โดยเน้นทดสอบความรู้เฉพาะสาขานั้นควรยกเลิกเสีย เพราะไม่ต่างอะไรกับการสอบปลายภาคของนักศึกษา ที่ตั้งหน้าตั้งตาท่องจำในส่วนที่คิดว่าจะออกสอบ พอสอบเสร็จก็โบกมือลาวิชานั้นเลย ผ่านไปสามเดือนลองให้สอบใหม่แบบไม่ให้ตั้งตัวซิ ส่วนใหญ่ทำไม่ได้หรอก ลืมหมด แบบนี้ไม่ถือว่า “รู้จริง” เพราะความรู้ที่มี ไม่สามารถนำมาบูรณาการให้ยั่งยืนได้ ควรใช้การสัมภาษณ์ เลือกคำถามที่เน้นให้ผู้ตอบต้องใช้ความคิด วิเคราะห์ หรือการแก้ปัญหา อาจ เป็นคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองทั่วไป แล้วเชื่อมโยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับลักษณะงานที่ต้องทำ ในระหว่างการสัมภาษณ์ให้สังเกตบุคลิกภาพ การพูดจา ความสนใจในเหตุการณ์ปัจจุบัน คลังความรู้ส่วนบุคคล ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เพื่อประกอบการพิจารณา
แต่ถ้าอยากทดสอบความรู้เกี่ยวกับสาขาวิชาชีพที่เรียนมา ควรป้อนคำถามที่เน้นการประยุกต์ความรู้ไปใช้งาน มากกว่าการไปถามเกี่ยวกับทฤษฎี ตัวอย่างเช่น คำถามที่ไม่ควรถามผู้สมัครซึ่งจบสาขาการตลาด ได้แก่ 4 P คืออะไร? มีอะไรบ้าง? หรือ จงอธิบายวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ฯลฯ เป็นต้น เพราะเด็กการตลาดส่วนใหญ่ ท่องคำตอบเหล่านี้ได้คล่องเหมือนนกแก้วนกขุนทองอยู่แล้ว และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งผู้บริหารที่เป็นผู้สัมภาษณ์ควรรู้คือ “การดูลักษณะโหงวเฮ้งของผู้สมัคร“
ในองค์กรทั่วไปที่มีการบริหารจัดการแบบยึดถือคุณธรรม จะให้ความสำคัญกับบุคลากรที่พิจารณาแล้วว่า “เป็นคนดี เป็นคนขยัน” เพราะเชื่อมั่นว่าจะสามารถฝึกฝนให้เป็น “คนเก่ง” ได้ ดังสุภาษิตจีนโบราณที่ว่า”คนดี..แต่ไม่เก่งให้เลี้ยงไว้ คนเก่ง..แต่ไม่ดีให้กำจัดเสีย” อย่าง ไรก็ตาม อาจมีข้อยกเว้นสำหรับในบางองค์กร ที่ผู้บริหารมีศิลปะในการเลือกใช้คน โดยดึงเอาเฉพาะด้านเก่งของคนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่สนใจข้อด้อยในด้านอื่นๆ ดังเช่นวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ได้แสดงให้เห็นศิลปะการเลือกใช้คนของโจโฉ กล่าวคือ “ไม่สนใจว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ขอให้เป็นคนเก่ง สามารถทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้เป็นพอ“ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ผู้บริหารต้องมีความรู้ในการดูลักษณะบุคคล เพื่อสามารถเลือกใช้คนได้เหมาะสมกับแต่ละลักษณะงาน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโหงวเฮ้ง :
ผู้คนในสังคมปัจจุบันมาจากหลายพ่อพันแม่ ความคิดหรืออุปนิสัยใจคอย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา การพบปะกันครั้งแรกผู้คนมักทำดีต่อกัน จะพูดแต่ข้อดีของตนเองมากกว่าข้อเสีย เลือกสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ ใช้เครื่องประดับราคาแพง แต่งหน้าทาปากสวยงาม เพื่อเพิ่มบุคลิกภาพให้ดูดีและอำพรางส่วนที่ด้อยของตนเอง
ดังนั้น การดูลักษณะโหงวเฮ้งจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อประกอบการคัดเลือกบุคลากรให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งในหลายประเทศ นิยมใช้วิธีการดูโหงวเฮ้งเพื่อประกอบการคัดเลือกบุคลากร เช่น ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศในแถบยุโรปบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย วิชาโหงวเฮ้งมีการบันทึกเป็นสถิติกันมาหลายพันปี เป็นมรดกอันล้ำค่าชิ้นหนึ่งของโลกที่ได้ถูกปกปิดเป็นความลับมาช้านาน และได้ถูกเปิดเผยเพื่อรับใช้สังคมทุกยุคทุกสมัยสืบทอดจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังสามารถนำไปประยุกต์เพื่อการประกอบวิชาทางด้านอื่นๆ ได้ด้วย เช่น จิตวิทยา กฎหมาย เป็นต้น
โหงวเฮ้งเป็นวิชาที่ว่าด้วยการดูลักษณะของบุคคลทั่วๆ ไป ไม่ใช่การพยากรณ์แบบโหราศาสตร์ ภาษาไทยเรียกวิชานี้ว่า “นรลักษณ์ศาสตร์” หมายถึง การพิจารณาดูจากลักษณะทั้งห้าประการ ซึ่งได้แก่
• อวัยวะทั้งห้า ได้แก่ คิ้ว หู ตา จมูก ปาก
• ภูเขาทั้งห้า ได้แก่ หน้าผาก จมูก โหนกแก้มซ้าย โหนกแก้มขวา ปลายคาง
• ห้าสั้นห้ายาว ได้แก่ ใบหน้า เรือนร่าง ศีรษะ แขน ขา
• ธาตุทั้งห้า ได้แก่ ธาตุทอง ธาตุน้ำ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน
วิชาโหงวเฮ้ง เป็นการศึกษาโครงร่างของมนุษย์ เช่น กระดูก หน้าตา มือเท้า ผิวพรรณ เส้น ไฝ เสียง รอยตำหนิจากแผลเป็น อริยาบทต่างๆ เช่น การเดิน การยืน การนอน การรับประทานอาหาร ตลอดจนการฟังน้ำเสียง ฯลฯ เป็นต้น คนที่มีโหงวเฮ้งดีไม่ได้แปลว่าสวยหรือหล่อ แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เพื่อให้ทราบถึง ฐานะ ชาติตระกูล อุปนิสัยใจคอ ความขยัน กล้าหาญ อดทน หนักแน่น ความรับผิดชอบ ความสำเร็จของบุคคลนั้น ว่ามีมากน้อยเพียงใด และยังดูถึงสุขภาพของบุคคลผู้นั้นได้อีกด้วย
การดูโหงวเฮ้งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จ เช่น การคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานได้ตรงตามลักษณะงาน การเลือกหุ้นส่วนเพื่อร่วมทำธุรกิจ การเลือกคู่ครอง การเลือกคบเพื่อนที่รู้ใจ การหลบหลีกระมัดระวังในการคบหาสมาคมกับคนบางประเภท และยังมีส่วนสำคัญให้เราได้รู้จักกับตัวเองว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร หากเป็นข้อดีก็จะได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ถ้าเป็นข้อเสียก็จะได้ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้อยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
ประวัติความเป็นมาของการดูโหงวเฮ้ง
ตำราวิชาโหงวเฮ้งเดิมถูกฝังอยู่ในฮวงซุ้ยซึ่งเป็นที่ฝังศพของเจ้าเมืองเหว่ยชื่อว่า “เหว่ยซังหวาง” โดยมีคนร้ายลักลอบเข้าไปขุดฮวงซุ้ยเพื่อขโมยสมบัติ และได้พบหนังสือทำด้วยไม้ไผ่แกะสลักรวม 13 บท เป็นการบันทึกเรื่องราวขององค์ปฐมกษัตริย์ จนมาถึงยุคสมัยพระเจ้าจิวบุ้นอ๋องในราชวงศ์จิว สมัยของขงจื้อยังไม่มีกระดาษ ดังนั้นทุกตัวอักษรจึงต้องบันทึกด้วยวิธีการแกะสลักอยู่บนท่อนไม้ไผ่ ตำราวิชาการต่างๆ จึงมักถูกครอบครองโดยคนบางกลุ่ม เช่น นักปราชน์ หรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ วิชาโหงวเฮ้ง มีความลึกซึ้งละเอียดอ่อน หลักวิชาที่แท้จริงถูกปกปิดเป็นความลับมาช้านาน เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นวิชาเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และสมัยก่อนตำราที่สำคัญมีน้อยและหายาก จึงเป็นที่หวงแหนกันมาก
การคัดเลือกบุคคลให้เป็นขุนนางหรือแม่ทัพในสมัยโบราณ ส่วนหนึ่งจะอาศัยหลักการดูลักษณะ จากหลักวิชาโหงวเฮ้งมาประกอบการคัดเลือกบุคคล เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง เพราะคนสมัยโบราณถือคติว่า “กองทัพย่อมไม่รับบุคคลผู้ไร้วาสนา” เพราะผู้ที่มีลักษณะดีถูกต้องตามหลักโหงวเฮ้งนั้น จะนำความเป็นปึกแผ่นและความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติได้
การแบ่งส่วนของใบหน้า :
เพื่อให้ทราบถึงวิถีชีวิตของบุคคลในแต่ละช่วงวัย จะแบ่งส่วนของใบหน้าเป็น 3 ส่วนเพื่อทำการศึกษาดังต่อไปนี้
• วัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 14 ปี ให้ดูที่ใบหู การนับอายุสำหรับเด็กหญิงและเด็กชายไม่เหมือนกัน เด็กหญิงให้เริ่มนับจากใบหูด้านขวา เด็กชายเริ่มนับจากใบหูด้านซ้าย
• ปฐมวัยหรือวัยหนุ่มสาวนับตั้งแต่อายุ 15 – 30 ปี อยู่ในช่วงที่ 1 ของใบหน้า วัดจากส่วนบนสุดของใบหน้าหรือเชิงผมจรดกึ่งกลางคิ้ว
• มัชฌิมวัยหรือวัยกลางคนนับตั้งแต่อายุ 31 -50 ปี อยู่ในช่วงที่ 2 ของใบหน้า วัดจากกึ่งกลางคิ้วถึงสุดฐานปลายจมูก
• ปัจฉิมวัยหรือวัยวัยชรานับตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป อยู่ในช่วงที่ 3 ของใบหน้า วัดจากฐานปลายจมูกไปจนถึงสุดปลายคาง
จากที่กล่าวมาข้างต้น หากแต่ละช่วงได้สัดส่วนสมดุลกันดี มีความยาวเท่ากันทั้งสามส่วน ดังตัวอย่างใบหน้าในภาพ จะส่งผลให้ชีวิตโดยรวมได้พบกับสิ่งที่ดี
การพิจารณาพื้นฐานครอบครัวและการศึกษา ให้ดูในช่วงที่ 1 หากท่านใดมีรูปหน้าผากที่เด่นชัด ชีวิตจะประสบความสำเร็จมากมายตั้งแต่วัยเยาว์ ส่วนความสำเร็จในหน้าที่การงาน จะอยู่ในช่วงที่ 2 หากท่านใดมีช่วงนี้เด่นชัด ชีวิตวัยกลางคนจะประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานและการเงิน สำหรับช่วงที่ 3 จะเกี่ยวกับฐานะความเป็นปึกแผ่นในช่วงวัยชรา หากท่านใดมีช่วงนี้เด่นชัด จะพบความสำเร็จทางด้านครอบครัว มีชีวิตสุขสบาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในบั้นปลายชีวิต
ช่วงของใบหน้าที่สั้นที่สุด ทำให้วิถีชีวิตเกิดวิกฤตที่ไม่สู้จะดีนักซึ่ง บ่งบอกว่าช่วงวัยนั้นต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ มากมาย บุคคลที่มีช่วงหน้าผากสั้นมาก หรือเป็นจุดด้อยกว่าช่วงอื่น อาจต้องขวนขวายหาทางศึกษาด้วยตนเองให้มากขึ้น ไม่ควรแต่รอคอยความช่วยเหลือจากพ่อแม่หรือผู้อุปการะแต่เพียงอย่างเดียว หากบุคคลที่มีช่วงกลางของใบหน้าสั้นมาก หรือเป็นจุดด้อยกว่าช่วงอื่น บุคคลนั้นจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงานค่อนข้างยาก จนกว่าจะถึงบั้นปลายชีวิต และหากบุคคลใดที่มีช่วงสุดท้ายของใบหน้าสั้นมากจนเป็นจุดด้อยกว่าช่วงอื่น บั้นปลายชีวิตต้องพบกับความยากลำบาก ทั้งด้านฐานะ สุขภาพ หรืออาจไร้ลูกหลานคอยดูแล
อย่างไรก็ดี การอ่านช่วงชีวิตทั้ง 3 ช่วงจากใบหน้าดังที่กล่าวมาข้างต้น อาจคลาดเคลื่อนไปได้เมื่ออายุมากขึ้น เพราะรูปหน้าอาจเปลี่ยนไป เช่น คนที่มีรูปหน้าแคบ พออายุมากขึ้นอาจขยายกว้างขึ้นได้ หรือคนที่มีคางเล็กแหลม ก็อาจขยายใหญ่อวบอิ่มสมบูรณ์ขึ้น เป็นต้น ซึ่งความถูกต้องแม่นยำของสัดส่วนบนใบหน้า จะมีผลต่อความเป็นอยู่ในขณะนั้นๆ มากที่สุด การอ่านโหงวเฮ้งจึงควรเน้นดูเฉพาะในช่วงอายุขณะนั้น ส่วนช่วงอายุอื่นอาจดูเพื่อเป็นแนวทางประกอบการเตรียมความพร้อมสำหรับการ ดำเนินชีวิตในอนาคต
โชคชะตาชีวิตในแต่ละช่วง ย่อมส่งผลถึงการดำเนินชีวิตในช่วงต่อไป หรือการดำเนินชีวิตในช่วงปัจจุบันก็เป็นผลที่ต่อเนื่องมาจากอดีต เหมือนกับบางคนที่วันนี้มานั่งเสียใจ เพราะไม่ตั้งใจเล่าเรียนให้เต็มที่ จึงพลาดโอกาสในการที่จะได้รับการคัดเลือกให้ทำงานในตำแหน่งที่ดีๆ ดังนั้นการมีช่วงชีวิตหนึ่งที่ดีเด่นชัด ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลเฉพาะกับช่วงอายุนั้นเพียงอย่างเดียวการ ดำเนินชีวิตในช่วงต้นอย่างเหมาะสม จะเป็นเสมือนทุนสะสมเพื่อเป็นจุดตั้งต้นในการเผชิญกับชีวิตในช่วงต่อไปด้วย การมีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ จึงควรกระทำความดีเพื่อเป็นทุนรอนที่สะสมไปใช้ในภายภาคหน้า ดังคำที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นั่นเอง
ประโยชน์ของการศึกษาวิชาโหงวเฮ้ง :
วิชาโหงวเฮ้งมิใช่เป็นการศึกษาเพื่อไปเป็นหมอดูทำนายทายทัก แต่ศึกษาเพื่อให้รู้ลักษณะของบุคคลที่เราได้พบได้เห็น เรารู้จักคนหลายคนเพียงได้เห็นหน้า ได้ฟังเสียง ได้เห็นบุคลิกลักษณะ เพียงแค่บางช่วงบางเวลา ไม่อาจทราบถึงอีกหลายมุมหลายด้านของเขาได้ทั้งหมด แต่การรู้โหงวเฮ้งจะช่วยให้เราสามารถคาดคะเนในใจได้แล้วว่า บุคคลที่เราพบเห็นนั้นเป็นคนอย่างไร น่าคบหาสมาคมด้วยหรือควรที่จะหลีกเลี่ยง หากคุณเป็นผู้บริหารคุณคงอยากจะเรียนรู้เพื่อนร่วมงาน คู่ค้าทางธุรกิจ หรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ลึกซึ้งกว่าที่เห็นภายนอก โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องคัดเลือกบุคคลเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในองค์กร ก็จะสามารถคัดเลือกคนที่มีความเหมาะสมกับงานแต่ละหน้าที่ได้ ถือเป็นเกณฑ์เสริมจากที่เคยใช้เพียงการทดสอบและสัมภาษณ์เท่านั้น
ดังนั้น ประโยชน์ของการศึกษาโหงวเฮ้ง จึงพอสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้
• เพื่อให้ทราบถึงอุปนิสัยดั้งเดิมของ แต่ละบุคคลในวัยเด็ก ชาติตระกูล ความขยันอดทน ความกระตือรือร้น ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูรู้คุณ ความน่าเชื่อถือ ความถนัด การมีมนุษย์สัมพันธ์ เป็นต้น
• เพื่อใช้ประกอบการคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานได้อย่างเหมาะสมกับความรู้ความสามารถ และบุคลิกลักษณะของบุคคลนั้นๆ
• เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาบุคคลที่จะร่วมเป็นหุ้นส่วนลงทุน ลูกค้าผู้มาขอกู้เงิน หรือพันธมิตรธุรกิจที่จะทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต
• เพื่อประกอบการพิจารณาเลือกคู่ครอง เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการจะใช้ชีวิตร่วมกันให้ตลอดรอดฝั่ง คนส่วนใหญ่จะชอบคบคนที่หน้าตาดีหรือมีฐานะ แต่เมื่ออยู่กันไปแล้ว ลักษณะนิสัยบางอย่างอาจไปด้วยกันไม่ได้ ดังนั้นการเลือกคู่ครองที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมถูกใจไปทั้งหมดคงหาได้ยาก แต่การเลือกคู่ครองที่มีข้อเสียน้อยๆ หน่อย มีบุคลิกและลักษณะนิสัยที่ส่งเสริมกันและกัน จะทำให้ชีวิตมีความสุขในระยะยาว ซึ่งเรื่องนี้สามารถใช้หลักการของวิชาโหงวเฮ้งมาพิจารณาประกอบได้
ลักษณะทั่วไปของบุคคลจากการวิเคราะห์รูปหน้า :
ตามหลักวิชาโหงวเฮ้ง กล่าวว่าวัฏจักรชีวิตก่อเกิดจากธาตุต่างๆ 5 ธาตุ ได้แก่ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุทอง และธาตุน้ำซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันใน 2 ลักษณะคือ”วัฏจักรการก่อกำเนิด“และ”วัฏจักรทำลาย“
วัฏจักรการก่อกำเนิดของธาตุต่างๆ(หรือการส่งเสริมให้ดีขึ้น)
• ธาตุไม้ก่อกำเนิดธาตุไฟเพราะไม้เป็นเชื้อเพลิง ทำให้เกิดไฟได้ง่าย
• ธาตุไฟก่อกำเนิดธาตุดิน เมื่อไฟเผาผลาญสิ่งต่างๆ ให้เป็นเถ้า ก็จะกลับกลายเป็นดิน
• ธาตุดินก่อกำเนิดธาตุทองเมื่อดินทับถมกันหลายพันปี ทำปฏิกิริยาทางเคมี แล้วแปรสภาพเป็นแร่ธาตุต่างๆ ที่มีค่า
• ธาตุทองก่อกำเนิดธาตุน้ำเพราะแร่ธาตุส่วนใหญ่จะมีความแข็งแกร่ง ปิดกั้นก่อตัวเป็นแอ่ง ซึ่งในที่ที่มีความชื้นสูงหรือมีฝนตกชุก ก็จะสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ จนก่อกำเนิดเป็นแหล่งต้นน้ำไหลลงมาเป็นแม่น้ำลำคลอง
• ธาตุน้ำก่อให้เกิดธาตุไม้ หมายความว่า ที่ใดมีแหล่งน้ำ ต้นไม้น้อยใหญ่ก็จะก่อกำเนิดขึ้นได้
วัฏจักรทำลายจากธาตุต่างๆ (หรือการทำให้แย่ลง)
• ธาตุไม้ทำลายธาตุดิน เพราะต้นไม้จะไชรากเลื้อยเจาะลงในดิน เพื่อดูดน้ำและแร่ธาตุเพื่อการเจริญเติบโต ส่งผลให้ดินแห้งแล้งและร่วนซุยได้
• ธาตุดินทำลายธาตุน้ำหมายถึงทิวเขาหรือเนินดิน สามารถปิดกั้นหรือเปลี่ยนแปลงทางเดินของน้ำได้
• ธาตุน้ำทำลายธาตุไฟเมื่อมีกองไฟหรือไฟป่าเกิดขึ้น ฝนที่ตกลงมาก็สามารถทำให้กองไฟหรือไฟป่าที่ร้ายแรงดับลงได้
• ธาตุไฟทำลายธาตุทองแร่ธาตุโลหะถึงแม้จะมีความแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องหลอมละลายเปลี่ยนรูปไปด้วยความร้อนของไฟ
• ธาตุทองทำลายธาตุไม้เมื่อแร่ธาตุโลหะถูกนำมาหลอมเปลี่ยนรูปเป็นอาวุธหรือเครื่องมือ เช่น มีด ขวาน เลื่อย ก็สามารถตัดทำลายต้นไม้ใหญ่ได้
การวิเคราะห์อุปนิสัยหลักจากธาตุต่างๆ บนใบหน้า
1. คนธาตุไม้สังเกต ง่ายๆ จากรูปหน้าทรงรี รูปไข่ เป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว ใจดีมีเมตตา มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีวาทศิลป์ในการพูด รอบรู้หลายเรื่อง ฉลาดทันคน ถนัดด้านการเรียนการสอน หรือเป็นที่ปรึกษาวางแผน คนพวกนี้เหมาะที่จะเป็นนักคิด นักวิชาการ นักวิเคราะห์ (ประมาณว่าเก่งทฤษฎีแต่อ่อนปฏิบัติ)
2. คนธาตุไฟ สังเกต ได้จากรูปหน้าแบบสามเหลี่ยมหรือคางเรียวแหลม อุปนิสัยโดยทั่วไปจะมีความคล่องแคล่วว่องไว ทะเยอทะยาน ชอบผจญภัย มุทะลุวู่วาม มีจินตนาการและมีอุดมคติสูง ชอบค้นคว้าหาเหตุผล เรียนเก่งเรียนรู้ไว คนพวกนี้เหมาะที่จะเป็นนักตรวจสอบ เร่งรัด หรือหัวหน้างานระดับกลางๆ
3. คนธาตุดิน สังเกตง่ายๆ จากรูปหน้าสี่เหลี่ยมมั่นคง เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา มั่นคงหนักแน่น ชอบทำมากกว่าพูด ขยัน ซื่อสัตย์ รักษาระเบียบ (ประเภทสั่งสิบก็ทำแค่สิบ) เอาความแน่นอนไว้ก่อน ไม่ชอบเสี่ยงทำธุรกิจหรืองานใหญ่ที่ไม่มีความแน่นอน เหมาะที่จะเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติการ
4. คนธาตุทอง มีความเป็นผู้นำ มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล ฉลาด สุขุม มีเหตุผล กล้าคิดกล้าทำ กล้าตัดสินใจ และกล้ารับผิดชอบ เหมาะที่จะเป็นนักบริหาร วางนโยบาย วางแผน ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก การเข้าหาคนประเภทนี้ต้องเป็นไปในลักษณะเชิงขอคำปรึกษาแนะนำ เพื่อให้เขาได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นหรือแสดงภูมิความรู้ของเขา
5. คนธาตุน้ำเป็นคนที่มีลักษณะรูปหน้ากลม อุปนิสัยโดยทั่วไปเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหว แต่ฉลาดทันคน รักความสบาย ชอบสนุกสนานเฮฮา ไม่ชอบความเครียด ชอบเข้าสังคม ชอบอาหารการกิน มีเพื่อนฝูงมากมาย เป็นคนประนีประนอมอะลุ่มอล่วย ไม่ชอบปะทะกับใคร ขาดความเด็ดขาด ติดตามงานระยะสั้นจบเป็นเรื่องๆ ได้ดี ไม่ชอบงานที่ต้องติดตามระยะยาว ปรับตัวเข้าหาผู้อื่นได้ดี รักงานด้านบริการหรือติดต่อประสานงาน เหมาะเป็นนักประสานประโยชน์ งานแรงงานสัมพันธ์ หรืองานประเภทเป็นแนวกันชน (ระหว่างพนักงานกับบริษัท) เป็นผู้ช่วยระดับบริหารได้ดีเยี่ยม
โหงวเฮ้งกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ :
ผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษาเรื่องโหงวเฮ้งมาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเก่งหรือคิดจะเอาดีทางด้านนี้หรอกนะ เพราะเนื่องจากลักษณะงานที่ปรึกษาและงานบริหารที่ผู้เขียนทำอยู่ จำเป็นต้องเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับ “คน” เป็นจำนวนมาก และอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ผู้เขียนยังคงยืนยันความคิดเดิมที่ว่า ใบหน้าแสดงระดับผลการเรียนไม่ได้สะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริงของบุคคลได้ หรือจากคำพูดท้ายรถสิบล้อที่ว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ” เหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันให้อยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิชาโหงวเฮ้ง
จากการวิเคราะห์อุปนิสัยหลักๆ ของบุคคล โดยการสังเกตจากลักษณะใบหน้าดังที่กล่าวมาเบื้องต้น ทำให้เราทราบคร่าวๆ ว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาของเราแต่ละคนมี อุปนิสัยใจคอเป็นอย่างไร เราเป็นผู้บังคับบัญชา และต้องการที่จะมอบหมายงานลักษณะใดให้ใคร ก็ควรพิจารณาถึงลักษณะอุปนิสัยดังกล่าวด้วย หรือจะคัดเลือกใครให้มาทำงานร่วมกับเรา ก็ต้องพิจารณาว่า อุปนิสัยหรือว่าธาตุของบุคคลนั้น จะมาส่งเสริมเราให้ดีขึ้นหรือจะมาทำให้เราแย่ลง
ในทำนองเดียวกัน หากเรารู้ว่าผู้บังคับบัญชาที่เราทำงานด้วยมีอุปนิสัยแบบใด เราก็จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การทำงานของผู้บังคับบัญชาได้ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “รู้ทางหนีทีไล่” นั่นเองและกับเพื่อนร่วมงานก็ เช่นเดียวกัน เราควรจะเรียนรู้อุปนิสัยของคนที่เราต้องทำงานด้วย เพื่อนร่วมงานบางคนอาจจะใจร้อนมุทะลุ บางคนขยันขันแข็ง บางคนเฉื่อยชา เราจึงต้องรู้วิธีการปรับตัวให้ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานแต่ละคนให้ได้
สรุป : “วิชาโหงวเฮ้ง” หรือ “นรลักษณ์ศาสตร์” ตามที่ยกมากล่าวข้างต้นนั้น ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ผู้เขียนเพียงสรุปมาเท่าที่พอจะมีความรู้อยู่บ้างเท่านั้น จึงอยากจะแนะนำให้นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ทุกท่าน หรือผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ควรที่จะศึกษาวิชาโหงวเฮ้งเพิ่มเติม อย่างน้อยก็เพื่อใช้เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ในการประกอบการพิจารณาคัดเลือกบุคลากร นอกเหนือจากวิธีการเดิมๆ ที่ใช้กันมา เช่น การทดสอบ การสัมภาษณ์ หรือการดูจากผลการเรียนของผู้สมัคร นอกจากนี้ยังช่วยให้รู้คร่าวๆ ถึงอุปนิสัยของบุคคลที่เราต้องร่วมงานด้วย เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น